เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า การเวียนตายเวียนเกิดเหมือนเราเดินอยู่กลางทะเลทรายแล้วล้มลง แล้วยังมองเห็นทางข้างหน้าต้องไปอีก นี่วัฏฏะเป็นแบบนั้น คือจะเหนื่อยหน่ายขนาดไหนเราก็ต้องเวียนไป โดยที่ว่ารู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ เห็นไหม
เขาปฏิเสธกันว่านรกสวรรค์ไม่มี นรกสวรรค์มันเป็นที่พักของจิต มันมีของมันอยู่อย่างนั้น ถ้ามันอย่างนั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งใดขึ้นมา ไม่ได้แต่งเติมสิ่งใดขึ้นมา มันมีของมันอยู่อย่างนั้น แต่จิตเราต้องไปพักไง นี้จิตเราเวลาเวียนตายเวียนเกิดมันไปพักอาศัย ฉะนั้น เวลาว่านี่ผลของวัฏฏะ เหมือนกับเราอยู่กลางทะเลทรายแล้วล้มลงนะ อย่างนี้ต้องไปอีก
ฉะนั้น สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา มันรื้อค้นขึ้นมาเพื่ออะไรล่ะ? สมัยโบราณนะถ้ายังไม่มีไฟ คนกินอาหารของดิบๆ พอมีไฟขึ้นมามันพัฒนาการมหาศาลเลย ในปัจจุบันนี้พลังงานลม พลังงานแดด พลังงานนะ เวลาพลังงานลมเขาเอามาใช้เพื่อเป็นประโยชน์ได้ พลังงานแสงแดดมันมีประโยชน์มหาศาลเลย นี้เพราะอะไร? เพราะเทคโนโลยีมันเจริญขึ้นมา เราสามารถเก็บกักพลังงานนั้นไว้ได้ เอาไว้ใช้ประโยชน์ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นพลังงานของใจ
นี่ใจเวลามันมีพลังงานขึ้นมา มันใช้ประโยชน์ของมันได้ขนาดไหน? แต่เวลามันสุขมันทุกข์ขึ้นมา เวลากิเลสมันข่มขี่หัวใจ หัวใจต้องเวียนตายเวียนเกิดไปตามอำนาจของมัน เวียนตายเวียนเกิดนะ มันเกิดมันตายในอารมณ์ อารมณ์หมายถึงความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดมันก็เกิดดับๆ ภพหนึ่งชาติหนึ่ง แต่เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมานี่อีกภพหนึ่งชาติหนึ่ง ถ้าภพหนึ่งชาติหนึ่ง เราเกิดมาแล้วเราจะมีสติปัญญาแค่ไหน? ถ้าเรามีพลังงานของเรา พลังงานลม พลังงานแดดเขาเอามาใช้ประโยชน์ได้นะ แล้วประโยชน์ไปข้างหน้าด้วย เพราะพลังงานมันจะหมดไปเรื่อยๆ แล้วสิ่งที่มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่เราจะมีสิ่งใดเก็บกักมันไว้เพื่อเป็นประโยชน์กับเราล่ะ?
ฉะนั้น ถ้าใครมีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม นี่พลังงานของใจ ถ้าไม่มีกำลังของใจขึ้นมา ถ้ารักษาใจได้ สุขทุกข์เหมือนกันนะ เวลาสุขทุกข์ในสังคมเรามองเห็นเหมือนกัน แต่คนที่มีกำลังใจในหัวใจเขายืนอยู่ได้ แล้วเขาเห็นสิ่งนั้นเป็นเรื่องปกติไง เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องแก้ไขไง แต่คนถ้าไม่มีกำลังของมันนะ พอเห็นสิ่งนั้นขึ้นมามันขาอ่อนนะ มันทุกข์มันยากของมัน เห็นไหม ถ้าจิตมีกำลังขึ้นมา แล้วจิตมันมาจากไหนล่ะ? มาจากบารมี
คำว่าบารมีนะ ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ เราทำสิ่งใด คำว่าประสบความสำเร็จ นี่อำนาจวาสนานะ จังหวะและโอกาส ทำเหมือนกัน คนหนึ่งทำประสบความสำเร็จ อีกคนหนึ่งทำไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเหตุใด? นี่มันเป็นอำนาจวาสนาของคน เห็นไหม เราแข่งเรือแข่งพายกันได้ เราแข่งอำนาจวาสนากันไม่ได้ คำว่าแข่งอำนาจวาสนากันไม่ได้ นั่นคือผลประโยชน์ทางโลกนะ
แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่ต้นทุนเราเท่ากัน ต้นทุนเรามีพลังงานเหมือนกัน เรามีจิตเหมือนกัน จิตเราเกิดมานี่จิตหนึ่ง เห็นไหม จิตหนึ่งเกิดมาเป็นเรา เกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกันก็เหมือนกัน สิ่งที่เหมือนกันนี่เกิดโดยสายบุญสายกรรม ต้องมีเวรมีกรรม มีสายบุญสายกรรมด้วยกันถึงมาเกิดร่วมกัน ถ้ามาเกิดร่วมกัน สิ่งที่เราจะทำให้มันเจริญขึ้นมา ถ้ามันเจริญขึ้นมามันเป็นประโยชน์ขึ้นมา
ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมา ถ้าเรามีพลังงานของใจ นี่พลังงานของใจมันมาจากไหนล่ะ? นี่เวลาเรารู้ เรารู้แต่สุขทุกข์ เวลามันสุขขึ้นมาเราก็พอใจ เวลาทุกข์มันก็บีบคั้นนัก แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เห็นว่าสิ่งนี้ถ้ามันมีตัณหาความทะยานอยากมันเป็นสิ่งเร้า แต่ถ้ามันมีบารมีขึ้นมานะ สิ่งนี้เราเห็นเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องปกติเรายับยั้งมันได้ ถ้ายับยั้งมันได้ นี่พลังงานเราไม่ใช้สูญเปล่า ไม่ได้ใช้ไป
ดูสิเวลาเขาบริหารจัดการ เครียด เขาใช้พลังงานของเขามาก ใช้พลังงานของเขามากแล้ว นี่สิ่งที่ใช้เพื่อประโยชน์กับใครล่ะ? ประโยชน์กับปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา นี่เราสะสมพลังงานอย่างนี้ ถ้าเราสะสมพลังงานอย่างนี้ เราทำไม่ได้ พอทำไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางกรรมฐาน ๔๐ ห้องให้พวกเรา ให้จิตมันเกาะไว้ ให้มันสะสมพลังงานของมัน ถ้ามันสะสมพลังงานของมัน เห็นไหม ผู้ที่อิ่มเต็ม ผู้ที่เคยใช้เคยสอยสิ่งนี้แล้วเขาไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เราเคยประสบมาแล้ว แต่ผู้ที่ไม่เคยใช้เคยสอย ไม่เคยเห็นสิ่งนี้ อยากได้ อยากเป็นเจ้าของมัน
เวลาจิต เวลามันเสวยอารมณ์ สิ่งใดมันผ่านมามันเสวยหมด ถ้ามันเสวยใช่ไหม? ก็ให้มันเสวยพุทโธสิ เรากำหนดพุทโธ พุทโธ เห็นไหม พุทโธนี่นาโน สะสมขึ้นมาๆ สิ่งที่มันเล็กละเอียดที่สุดให้มันสะสมขึ้นมา ให้มันเป็นเอกภาพขึ้นมาให้ได้ ถ้าจิตเป็นเอกภาพขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามีสัมมาสมาธินะ นี่โลกมันแบบนั้น จิตก็เป็นแบบนี้ นี่พลังงานของมัน ถ้าพลังงานของใจมีขึ้นมา ถ้าเรามีอำนาจวาสนานะ ถ้าพลังงานของใจมีขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ฤๅษีชีไพรเขามีก่อนหน้านี้แล้ว
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พระเวสสันดร เห็นไหม เวลาเป็นนักบวชขึ้นมา เป็นฤๅษีชีไพรอยู่ในป่าในเขาเพราะอะไร? เพราะเขาเห็นว่าโลกพยายามแสวงหาทางออกกันอยู่ แต่แสวงหาทางออกยังไม่เจอทางออกที่ถูกต้อง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่ฤๅษีชีไพรเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มาประพฤติปฏิบัตินะ เพราะฤๅษีชีไพรมีพลังงานขึ้นมาในหัวใจ แต่มันไม่มีมรรคญาณ ไม่มีปัญญา ไม่มีสิ่งที่จะชำระสะสางกิเลสได้ ถ้าชำระสะสางกิเลส นี่เราสร้างสมของเรา เพราะเรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีธรรมและวินัยอยู่แล้ว มีครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติไป
นี้ประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติไปด้วยอะไรล่ะ? ก็ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา แล้วปัญญาอย่างไร? ปัญญาอย่างไร? คำว่าปัญญาๆ เด็กมันก็รู้คำว่าปัญญา ปัญญานกแก้ว นกขุนทองมันก็ท่องของมันได้ นี่เวลามันเรียกนะ ให้มันท่องปัญญาๆ มันก็ท่องได้ นกแก้วมันก็ท่องได้ แต่มันไม่รู้หรอกว่าปัญญาคืออะไร? เด็กก็เหมือนกัน เวลามีความคิดขึ้นมา มันบอกความคิดของมันเป็นปัญญาหรือเปล่าล่ะ?
นี่เวลาเราปฏิบัติของเราขึ้นมา เราใช้ปัญญาของเราๆ ปัญญาอะไร? ปัญญากิเลสมันพาใช้ แต่ถ้ามันทำความสงบของใจขึ้นมา คนเราอิ่มเต็ม คนเรามีความพอในหัวใจแล้ว สิ่งใดขึ้นมาเราเลือก เราแยก เราแยะ สิ่งใดที่มันทำให้เราทุกข์ยากแสนเข็ญในใจ สิ่งนี้เราเข็ดขยาด เราพยายามจะไม่ยุ่งกับมัน แต่สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์มันคืออะไร? ให้เห็นความเป็นจริงสิ ให้เห็นสิ่งนี้ สิ่งที่ชีวิตเราขึ้นมา นี่สิ่งที่เรายังเข้มแข็ง เราแข็งแรงอยู่มันก็เป็นประโยชน์กับเรา
ในทางโลก เวลาเด็กขึ้นมาเขาก็ต้องมีกฎหมายคุ้มครองเพื่อให้มันวัยทำงาน พอทำงานขึ้นมาก็เสียภาษี เวลาเกษียณแล้วนี่วัยชรา พอวัยชราขึ้นมาเขาอยู่ของเขาเพื่อประโยชน์สุขในชีวิตของเขา ให้ชีวิตนี้ยั่งยืนขึ้นไป นี่โลกเขายังบริหารจัดการเรื่องของชีวิตกันได้ แต่หัวใจของเรานะ เราเกิดมาชาติหนึ่ง เราก็มีโอกาสบริหารจิตใจเราได้ชาติหนึ่ง มีโอกาสนะ เวลาตายไปแล้วไปเกิดสิ่งใดๆ ก็ไม่รู้ เวลาเราเกิดมาเรามีศรัทธา มีความเชื่อ เราบอกว่านี่ตายไปแล้วจะไปปฏิบัติเอาบนสวรรค์ เวลาตายไปแล้วจะไปบนพรหมจะไปปฏิบัติเอา ไปบนสวรรค์ ไปบนพรหม มันก็ไปเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งนั้น
เวลาปัจจุบันนี้ที่เราศรัทธาเพราะอะไรล่ะ? เราศรัทธาเพราะมีสภาวะแวดล้อม เราศรัทธาเพราะจิตใจเราเปิดกว้าง จิตใจเรารับรู้สิ่งนี้ เวลามันเกิดภพใหม่ชาติใหม่นะ นี่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนหมด สถานะเปลี่ยนหมด เป็นคนเหมือนกัน นาย ก. ไปเกิดเป็นนาย ข. นาย ก.ตายไป จิตของนาย ก. ไปเกิดเป็นนาย ข. สิ่งที่สะสมจากนาย ก. ไป สิ่งที่เป็นคุณงามความดี สิ่งที่สะสม สะสมอยู่ในใจของนาย ก. ไป มันจะให้ผลกับนาย ข. แล้วนาย ข. ไม่ได้ทำสิ่งใดเลย นาย ข. ไม่ได้ทำเลย แล้วทำไมโทษทัณฑ์นั้นต้องมาเกิดกับนาย ข. ล่ะ?
เห็นไหม กรรมเก่า กรรมใหม่ มันเป็นใจดวงเดียวกัน แต่เกิดจากนาย ก. นาย ก. ตายไป นี่จิตออกจากร่างนาย ก. ไป ไปปฏิสนธิเกิดเป็นนาย ข. นาย ข. เกิดขึ้นมาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน สิ่งที่ นาย ก. สะสมเป็นบุญกุศลมามันก็ทำให้นาย ข. มีจิตใจเปิดกว้าง มีจิตใจที่ไม่บีบคั้นหัวใจจนเกินไปนัก สิ่งที่นาย ก. มีความกระทบกระเทือนใจมา มันก็มีผลไง มีผล แล้วเวลานาย ก. ไปเกิดเป็นนาย ข. นาย ก.ทำแต่บาปอกุศล แต่เวลาไปเกิดเป็นนาย ข. นาย ข.มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ? มันเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร? เพราะกรรมนี้เป็นอจินไตย
จิตที่เกิดเป็นนาย ก. เขาได้สร้างบุญกุศลมาตั้งแต่ภพชาติใด? เวลาเกิดเป็นนาย ก.ขึ้นมาเขามีเหตุจำเป็นของเขา เขาถึงทำแต่บาปอกุศลขึ้นไป พอไปเกิดเป็นนาย ข. นาย ข. สิ่งที่เป็นบาปอกุศลนั้นมันก็ซ้ำอยู่ในหัวใจนั้น นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาย้อนไปในอดีต อันนี้มันเป็นข้อเท็จจริง อันนี้เป็นกำปั้นทุบดิน อันนี้มันเป็นเหตุเป็นผลโดยวัฏฏะ
แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมาในใจ เวลาจิตเราสงบขึ้นมา นี่พลังงานของใจ พลังลม พลังแดด เขามีปัญญาเขายังเอามาใช้ประโยชน์ของเขาได้ พลังงานของใจมันเป็นฤๅษีชีไพร เขาใช้พลังงานโดยโลกียปัญญา โดยโลก โดยฌานโลกีย์ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้พลังงานนี้ เปลี่ยนแปลงพลังงานนี้ให้มันเกิดปัญญาขึ้นมา เปลี่ยนแปลงนี้ให้เป็นมรรคญาณ เปลี่ยนแปลงให้มันเกิดงานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ ปัญญาชอบขึ้นมามันก็สะสางขึ้นมา มันเข้าไปปลดเปลื้องในหัวใจ
ถ้าปลดเปลื้องในหัวใจ แล้วเราทำขึ้นมา เวลาเราทุกข์เรายาก เราปฏิบัติแล้วเราไม่ได้ผล ปฏิบัติสะสมมันไป ปฏิบัติไป ดูสิเวลากระรอก กระรอกที่อยู่ชายทะเลเป็นโพธิสัตว์ นี่ลมพัดมารุนแรงมาก รังกระรอกก็ตกมาในทะเล ทีนี้กระรอกตัวนั้น ลูกอยู่ในรังนั้นตกไปในทะเล นี่ด้วยความรู้สึกของกระรอกไง เอาหางไปชุบน้ำแล้วขึ้นมาสะบัด เอาหางไปชุบน้ำแล้วขึ้นมาสะบัด จนเทวดาทนไม่ไหวนะ แปลงเป็นเทพบุตรมาถามกระรอกว่า
กระรอกทำอะไรน่ะ?
จะเอาลูกคืน ลูกอยู่ในรัง อยู่บนต้นไม้ แล้วลมมันพัดรังนี้ตกไปในทะเล
แล้วกระรอกคิดว่าเอาหางชุบน้ำขึ้นมาสะบัดๆ คิดว่าน้ำทะเลมันจะแห้งได้ไหมล่ะ?
นี่เขาจะสลัดให้น้ำทะเลจนแห้งนะ เขาจะเอาลูกเขาคืนขึ้นมา นี่พระโพธิสัตว์นะ แล้วเวลาเราปฏิบัติขึ้นมา นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ นี่ก็ทุกข์ นี่ก็ยาก นี่เราเอาสิ่งนี้มาเป็นประเด็นนะ เอาสิ่งนี้มาปลุกเร้าใจให้มันเข้มแข็งขึ้นมา แต่ในพระไตรปิฎก พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นกระรอก นี่เอาหางจุ่มน้ำขึ้นมาสะบัดๆ เจตนาคือจะชุบน้ำให้แห้งเลยล่ะ จะชุบน้ำไป จะลงไปเอาลูกนี้คืนขึ้นมา สุดท้ายแล้วเทวดาแปลงเป็นเทพบุตรเอาลูกขึ้นมาคืนให้ เอาลูกขึ้นมาโดยทำให้ได้ ทำให้
นี่ด้วยความเพียรของกระรอก เขาเป็นสัตว์นะแต่เป็นสัตว์ประเสริฐ พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์ เสวยเป็นสัตว์ ได้เป็นหัวหน้าสัตว์ ทำแต่คุณงามความดี เห็นไหม ทำคุณงามความดีในปัญญาของสัตว์ ทีนี้พอมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ เป็นผู้นำ เป็นจักรพรรดิ เป็นต่างๆ ก็สร้างสมบุญญาธิการ เราทำคุณงามความดี การเสียสละเพื่อประโยชน์กับคนอื่น เขาได้ความสุขจากเรา เขาจะรู้หรือเขาจะไม่รู้ก็แล้วแต่ บารมีเราอยู่ตรงนั้น ถ้าบารมีนี่ทำให้จิตใจมันเป็นสาธารณะ จิตใจมันกว้างขวาง เวลามาปฏิบัติมันก็เป็นไปได้ไง
ถ้าจิตใจของคนเป็นอย่างนี้ นี่สังคมชาวพุทธ วัฒนธรรมของชาวพุทธให้เสียสละกัน สังคมชาวพุทธจะเดือดร้อนขนาดไหนมันก็ยังพอกล้ำกลืน ดูสังคมนะ เวลาคนไปเที่ยวรอบโลกมา บอก ที่ไหนไม่ดีเท่าประเทศไทย ที่ไหนไม่ดีเท่าประเทศไทย ทุกคนจะพูดอย่างนั้นนะ ที่ไหนไม่ดีเท่าประเทศไทย ทุกคนจะพูดอย่างนั้นนะ ที่ไหนไม่ดีเท่าประเทศไทย ประเทศไทยมันประเทศของวัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธไง ชาวพุทธองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้อย่างไร? สอนให้คิดถึงหัวใจคนอื่น ใจเขาใจเราไง
ทุกคนเกลียดความทุกข์ อยากหาความสุข แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมานี่ทำด้วยความไม่เข้าใจ ทำด้วยความไม่รู้ ปรารถนาดีกับเขา ทำดีกับเขา แต่เขาไม่พอใจ เป็นเรื่องของความบาดหมาง ทั้งๆ ที่ทำดีกับเขานะ แต่เขาไม่เข้าใจว่าเราดีอย่างไรไง ดูสิดูว่าพ่อแม่เลี้ยงดูลูก พ่อแม่ปรารถนาดีกับลูกหมดเลย ลูกก็บอกพ่อแม่ไม่รักทุกคนแหละ ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้เป็นพ่อแม่คนมันก็คิดของมันอย่างนั้นตั้งแต่เด็ก นี่โดยธรรมชาติของมัน โดยธรรมชาติของกิเลสมันเป็นแบบนั้น
ถ้าเราทำความดีของเรา นี่พลังงานของใจ เวลาพลังงานของแสงแดด พลังงานลม พลังงานต่างๆ นี่นะมันไม่มีชีวิตจิตใจ แต่คนมีชีวิตจิตใจ คนถึงไปเอามันมาใช้ประโยชน์ แล้วพลังงานของใจเราเป็นเจ้าของ มันอยู่กับเราแท้ๆ เลยล่ะ แต่เรามองไม่เห็นไง ถ้าพลังงานแดด พลังงานลมเราเอามาเป็นประโยชน์ เราเห็นมันเป็นธุรกิจต่างๆ เราเห็นนะ แต่ความรู้สึกของใจเราจะเห็นมันได้อย่างไรล่ะ? เราพยายามดูแลของเรา รักษาใจเรา ทำใจเราให้มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา
ถ้าทำเป็นประโยชน์ขึ้นมา นี่ศาสนามีมรรคมีผล มีเนื้อหาสาระ เขาบอกศาสนามีนรก สวรรค์ มีบาป มีบุญ เขียนเสือให้วัวกลัว นี่มันไม่มีเหตุมีผล ว่ากันไป หลอกลวงกันไป นั้นเป็นความคิดของกิเลสไง แต่จิตใจของเราเรารู้ได้ ถ้าเราทำของเรา เห็นไหม พลังงานในใจของเราก็เกิดขึ้นมา ถ้าทำสมาธิได้นะ นี่ความสงบระงับมันก็มีความสุขของมัน เวลาฟุ้งซ่านนี่ร้อน ทุกคนร้อนนะ กระสับกระส่าย รู้หมดเลย แต่เวลามันร่มเย็นขึ้นมาทำอย่างไรล่ะ?
นี่ทำบุญกุศลนี้เป็นอามิส เป็นสิ่งสภาวะแวดล้อมปรับหัวใจของเรา แต่ถ้ามันจะเป็นความจริงขึ้นมาต้องภาวนา รักษาจิตของเราเอง เราเลี้ยงใจเราเอง เราดูแลใจเราเอง บริหารใจของเราเอง นี่มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก เวลาเราบรรลุธรรมเราก็บรรลุธรรมของเราเอง อันนี้เราไม่บรรลุธรรมของเรา แต่เราพยายามขวนขวายอยู่ ขวนขวาย เห็นไหม ดูสิฝูงสัตว์ ฝูงสัตว์ที่หัวหน้ามันดี มันจะพากันและเล็ม มันจะปกป้องดูแลฝูงของมัน
นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติ ถึงมันจะบรรลุธรรมไม่บรรลุธรรม นี่เราคบบัณฑิต บัณฑิต เห็นไหม อเสวนา จ พาลานํ เราไม่คบคนพาล เราจะคบบัณฑิต บัณฑิตผู้ที่แสวงหา ผู้ที่ตะเกียกตะกายด้วยกัน ผู้ที่แสวงหาทางออกด้วยกัน เราพยายามแสวงหาทางออกกันอยู่ ออกด้วยหัวใจนะ โลกเป็นแบบนี้ เราจะอยู่ไปจนชราคร่ำคร่า แล้วเราจะตายไปกับโลกนี้ แต่ถ้าหัวใจมันแสวงหาทางออก มันหาอริยทรัพย์ของมัน มันหาพื้นฐานของมัน หาปัญญาของมัน นี่มันสว่างโพลงในหัวใจ ถ้ามันสว่างโพลงในหัวใจนะ มันพร้อมเสมอที่จะเผชิญทุกๆ อย่าง เผชิญสิ่งใดก็ได้
ผลของวัฏฏะมันหมุนไปอย่างนี้ แต่หัวใจเราอยู่กับมันโดยไม่ติด ไม่ติดข้องไปกับมัน อยู่กับมัน บริหารจัดการมันไป ถึงที่สุด เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นกิเลสตั้งแต่วันวิสาขบูชา นี่วันตรัสรู้ธรรมขึ้นมา อยู่อีก ๔๕ ปี นั่นล่ะจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์เผชิญได้ทุกๆ อย่าง แล้วเวลาจะตายไปพระอานนท์ละล้าละลัง พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ นี่ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ควรจะนิพพานเลย เรายังต้องการครูบาอาจารย์ชี้นำอยู่ นี่ต้องการชี้นำ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก อานนท์ เราวางธรรมวินัยเป็นศาสดาของเธอแล้ว ต่อไปอีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีการสังคายนา เธอจะเป็นพระอรหันต์
นี่พระอานนท์ก็ยังละล้าละลัง ยังต้องการให้ครูบาอาจารย์สอนนะ ฉะนั้น เราจะหาทางออกของเรา เราคบบัณฑิต เราคบบัณฑิตนะ เราขวนขวายของเรา เพื่อกำลังใจของเรานะ ถ้าไม่มีกำลังใจมันท้อแท้ นี่มันท้อแท้ ความท้อแท้ งานข้างนอกเป็นงานของวัตถุ บริหารจัดการอย่างไร มันสำเร็จได้ มองเห็นเนื้องาน เวลาทำความสงบของใจ ใจมันสงบหรือไม่สงบ นั่นแหละเรารู้ของเรา แล้วถ้ามันมีปัญญาของมัน ปัญญาหัดใช้ของมัน มันไม่สงบ คิดพิจารณาของมันไม่สงบ ไม่สงบเพราะเราเป็นอย่างไร เราใช้ปัญญาของเราไป มันจะทำสิ่งนั้นให้มันเจือจางไป เบาบางไป แล้วเราพยายามทำของเราได้
เราทำของเราด้วยใช้ปัญญาหาเหตุหาผล ให้กำลังใจตัวเองแล้วหาเหตุหาผล ครูบาอาจารย์ให้กำลังใจมาจากข้างนอก เราให้กำลังใจเราเอง เรามีสติปัญญาของเราเอง เรามีปัญญาของเราเอง เราแก้ไขของเราเอง ถ้าเราแก้ไขของเราเอง เราแก้ไขได้ เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เราบริหารจัดการหัวใจของเราได้ แต่ถ้าเรายังล้มลุกคลุกคลานอยู่ เราบริหารหัวใจของเราไม่ได้ นี่เราก็กระเสือกกระสน แต่เราคบบัณฑิตไว้ เกาะเกี่ยวกันไว้ พยายามของเราไว้ พยายามให้หัวใจของเรามีที่พึ่ง มีทรัพย์สมบัติเป็นของเรา เอวัง